จุดประสงค์ของบล็อกนี้

บล็อกเกอร์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการเรียนการสอนวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเพื่อให้ผู้ที่สนใจในเรื่องการเมืองไทยเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

DSI รับคดีสรรหา กสทช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีพิเศษ


นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยหลังมีการประชุมที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทนนายกรัฐมนตรี
โดย นายธาริต เปิดเผยว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และมีมติให้กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับกระบวนการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นคดีพิเศษ ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ได้ว่า
1.องค์ประกอบการดำเนินการสรรหา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2.การสรรหาบัญชี 2 น่าเชื่อว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ การนำรายชื่อ กสทช. ขึ้นกราบบังคมทูลฯโปรดเกล้าฯ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ดีเอสไอไม่สามารถให้ความเห็นได้ ซึ่งคาดว่าการสอบสวนจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน

เฉลิม ท้า ถวิล ฟ้องก.พ.ค. ปมสั่งย้ายพ้นเก้าอี้สมช.


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมตรี ได้ออกมากล่าวถึงกรณีที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี ได้ออกแถลงการณ์หลังถูกโยกย้ายไปนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และเตรียมจะฟ้อง ก.พ.ค. ถึงเรื่องดังกล่าวว่า
ตนอยากบอกว่า การโยกย้ายปกติเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยน การโยกย้ายก็ไม่เสียงบประมาณ เสียแต่ความรู้สึกเท่านั้น
“ผมเป็นนักการเมือง อยู่แล้วก็ไป ข้าราชการยังต้องอยู่ต่อ นักการเมืองกับข้าราชการ ก็เหมือนเรือกับท่าเรือ ซึ่งถ้าหากนายถวิล จะฟ้อง คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม(กพค.) ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์สามารถทำได้”
นอกจากนี้ร.ต.อ.เฉลิม ยังได้กล่าวขอโทษ นายถวิลด้วยที่เคยพูดจาเยาะเย้ย ถากถาง และเชื่อว่าคงไม่มีปัญหาเดี๋ยวจะหาเวลาไปทานข้าวเรื่องก็จบ

ถวิล แถลงแล้วบอกเสียใจ ถูกย้ายจากสมช.


เมื่อเวลาประมาณ 09.15น. ที่ผ่านมา นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ถูกโยกย้ายไปนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้แถลงเปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่า
รู้สึกเสียใจ ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา มีการใช้ตำแหน่งเลขาสมช.มารองรับการแก้ปัญหาการเมือง ยืนยันว่าทำงานให้รัฐบาลไม่เคยรับใช้พรรคการเมืองเลย แต่ต้องงงที่ตนเองถูกย้ายทั้งที่ไม่เกี่ยวกับการบกพร่องในหน้าที่โดยหลังจากนี้จะใช้ช่องทาง ก.พ.ค.ทวงความเป็นธรรมให้เร็วที่สุด
“เสียดาย-เสียใจ-สงสัย-ไม่เข้าใจ ท่านที่รังแกผมต้องต่อสู้กับกฎแห่งกรรม…ผมไม่ต้องการเป็นไอดอลของข้าราชการในการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นอานิสงก็ดี” นายถวิลกล่าว และว่า
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เคยคุยด้วยเลย และจากนี้จากนี้จะไปรายงานตัวและมอบนโยบาย “ผมไหว้พระทุกวัน กฎแห่งกรรมจะจบด้วยความจริงแท้แน่นอน” นายถวิลกล่าว พร้อมขอโทษสื่อที่ไม่รับโทรศัพท์ รู้ว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดีแต่ต้องใจแข็ง

ข้าราชการบัวแก้วยิ้ม สุรพงษ์ แย้ม เตรียมแจกไอแพด


วันนี้ (6 ก.ย.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่กงสุลทั่วโลก ประจำปี 2554 ได้กล่าวถึง นโยบายที่จะแจกไอแพดให้กับข้าราชการกระทรวงต่างประเทศและการเพิ่มจำนวนข้าราชการ
โดย นายสุรพงษ์กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ตนต้องนำเสนอครม. เพื่อขออนุมัติงบประมาณเพิ่ม โดยเฉพาะเรื่องบุคลากร ค่าจ้าง ค่าทำงานล่วงเวลา ซึ่งไม่เคยได้เพียงพอ แม้กระทั่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็ล้าสมัย ไม่ทันเหตุการณ์ โดยข้าราชการบางคนแนะนำว่าควรจะมีไอแพด เพราะเดี๋ยวนี้คนมีไอแพดกันหมดแล้ว แต่กระทรวงการต่างประเทศไม่มี
ส่วนกรณีการเพิ่มบุคลากรและงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เท่าที่ได้ตรวจเยี่ยมพบว่า บุคลากรไม่เพียงพอ ทำงานหนักมาก เช่น กรมอาเซียน มีข้าราชการเพียง 10 กว่าคน ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

สุเทพ อัดรัฐบาล ขอพระราชทานอภัยโทษทักษิณ ทำผิดหลักประเพณี


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎ์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ออกมากล่าวถึงกรณีการยื่นฎีกาขออภัยโทษให้พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า
เรื่องดังกล่าวถือว่าผิดระเบียบประเพณีเป็นอย่างมาก ซึ่งปกติผู้ที่จะขออภัยโทษได้ต้องรับโทษก่อน แต่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม กลับระบุว่าแล้วแต่กรณีว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
คนที่จะได้รับอภัยโทษต้องเป็นผู้ที่ต้องโทษและรับโทษอยู่ จู่ๆ จะมาขอพระราชทานอภัยโทษเลยมันทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่บังควรที่จะทำอย่างนั้น เพราะเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติอย่างยิ่ง แต่คุณเฉลิมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยฟังใครอยู่แล้ว เราก็คอยดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ ​ถ้ารัฐบาลทำเรื่องนี้ไม่ถูกใจประชาชนบ่อยๆ รัฐบาลก็จะเสื่อมความนิยม แล้วประชาชนก็จะต่อต้านรัฐบาลเอง“นายสุเทพกล่าว
ขณะเดียวกันร.ต.อ.เฉลิม ก็ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกันว่า หากพิจารณาดีๆ ไม่มีหลักกฎหมายข้อไหนห้ามที่การขอพระราชทานอภัยโทษต้องรับโทษก่อน แต่มาอ้างพ.ร.ฎ.ปี 50 ซึ่งนั่นเป็นกรณีเฉพาะราย ไม่ใช่หลักการทั่วไป โดยหลักการแล้วพ.ร.ฎ.ศักดิ์ศรีของกฎหมายเล็กกว่าพ.ร.บ.มาก
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้กระทรวงยุติธรรมยังไม่ได้ส่งเรื่องมาถึงตน หากพิจารณาเสร็จแล้วก็ต้องมาให้ตนในฐานะที่ตนกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมและ ได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้ดูแลงานการขออภัยโทษ
ผมว่าเรื่องนี้เป็นแผนของคนบางกลุ่ม บางเรื่องมีวาระซ่อนเร้น ที่หยิบยกประเด็นนี้ปล่อยข่าวให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้เข้ามายังไม่ทำอะไรเลย ก็จะมาทำเรื่องนี้แล้ว มันไม่ใช่ ยังไม่มีเรื่องมาเลย แต่เมื่อมาถามผม ๆ ก็อธิบายให้ฟัง ผมก็อธิบายด้วยเหตุผลว่ามันเป็นอย่างนี้ นายกฯก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องด่วน มันทำกันมาตั้ง 2 ปีกว่าแล้ว แต่เอาไปเก็บไว้ “ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ประเทศไทยในยุคสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมของ เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง



จากสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ไปอย่างมีนัยสำคัญ ได้ส่งผลให้ประเทศไทยในวันนี้อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง ที่สำคัญ ๓ ประการ คือ

๑.     การเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงและยังไม่สามารถก้าวพ้นวิกฤตได้อย่าง ยั่งยืน ด้วยเหตุผลที่สำคัญ คือ
         ๑.๑     วันนี้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง และอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองไปสู่ศูนย์ กลางใหม่ทางทวีปเอเชียในระยะยาว สหรัฐอเมริกายังมีการว่างงานสูง อีกทั้งสถาบันการเงิน ครัวเรือน และรัฐบาลยังอ่อนแอด้วยภาระหนี้เกินตัว เศรษฐกิจยุโรปเผชิญปัญหาการคลังและมีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใน หลายประเทศ ทั้งกรีซ สเปน และอิตาลี รวมทั้งภาระอุ้มชูเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปซึ่งก่อให้เกิดความ ไม่แน่นอนของการถือครองทรัพย์สินในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและทรัพย์สินอื่น ๆ ในขณะที่จีนและอินเดียกลับมีศักยภาพ ในการขยายตัวของเศรษฐกิจและกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะบทบาทและความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มมีมากขึ้นและแผ่ ขยายในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยได้เปลี่ยนผ่านจากการเป็นโรงงานผลิตของโลกไปสู่การบริหารและ ถือครองทรัพย์สินและทรัพยากรพลังงานของโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       ๑.๒    โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกสินค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างมาก จึงมีความเสี่ยงสูงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และยังไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มที่จากการผลิตและการใช้ทรัพยากรของประเทศ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนการพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศลดลงจากร้อยละ ๗๔.๘ ในปี ๒๕๕๒ เป็นร้อยละ ๖๗.๕ ในปี ๒๕๕๓ จึงทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวเมื่อโลกมีวิกฤตเศรษฐกิจ (ติดลบร้อยละ ๒.๓ ในปี ๒๕๕๒) และขยายตัวเมื่อโลกฟื้นตัว (ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ในปี ๒๕๕๓) เป็นวงจรอย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การขยายตัวดังกล่าวมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ ๒๘.๕ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นของบริษัทต่างชาติที่ไทยเป็น เพียง แหล่งประกอบ ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรยังคงเป็นการส่งออกวัตถุดิบที่ราคาผันผวนขึ้นกับ ตลาดโลก ในขณะที่การท่องเที่ยวขยายตัวจากการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าการเพิ่ม มูลค่าของบริการและขาดการบริหารจัดการที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน
       ๑.๓    ประเทศไทยยังคงนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศสูง สัดส่วน การนำเข้าพลังงานสุทธิต่อการใช้รวมยังคงสูงถึงร้อยละ ๕๕ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของการขนส่งและการผลิตสินค้าที่มีผลกระทบต่อค่าครอง ชีพและต้นทุน การผลิตที่ต้องแข่งขันกับต่างประเทศ แม้ว่าในภูมิภาคอาเซียนเองจะมีแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติมากมาย แต่การแสวงหาความร่วมมือเพื่อการพัฒนาความมั่นคงของพลังงานในภูมิภาคยังมี น้อย และจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อประเทศไทยในระยะยาว
       ๑.๔    ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่มีอยู่สูงแสดงถึงฐานเศรษฐกิจ ที่ยังไม่เข้มแข็ง ประชาชนระดับฐานรากยังมีรายได้น้อยและขาดโอกาสในการเพิ่มรายได้ โดยส่วนใหญ่อยู่ในสาขาเกษตร และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่สนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงไม่มีโอกาสที่จะเติบโตเป็นชนชั้นกลางที่จะเป็นฐานการบริโภค และสร้างสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและเป็นของตนเองได้ และในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ ช่วงภาวะเงินเฟ้อก็จะเป็นกลุ่มคนที่เดือดร้อนจากค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต มากกว่าคนอื่น

๒.     การเปลี่ยน ผ่านทางด้านการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง ที่ผ่านมา แม้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาผูกโยงกับภาวะการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลก และในขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อที่ ว่า สังคมไทยและคนไทยจะสามารถ หาข้อสรุปที่นำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งดังกล่าวย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อการวางพื้นฐานเพื่ออนาคตระยะ ยาว และทำให้สูญเสียโอกาสในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียงเฉลี่ยร้อยละ ๓.๖ ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพ ที่ควรจะเป็น และส่งผลต่อความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาที่เป็นพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ ในประเทศคือ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้

๓.     การเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างประชากรและสังคมไทย โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลกระทบต่อปริมาณ และคุณภาพของคนไทยในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งปัญหายาเสพติด และปัญหาวัยรุ่นที่จะบั่นทอนคุณภาพของเยาวชนไทย ซึ่งมี ความจำเป็นต้องพัฒนาระบบการศึกษา การให้บริการสุขภาพและสร้างสวัสดิการที่มั่นคงให้แก่คนไทยทุกคน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญต่อการเปลี่ยนแปลง ในภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต เช่น ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และกฎระเบียบของการแข่งขันในตลาดโลก เป็นต้น  

รัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย

 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่าโดยที่ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาเป็นเวลากว่าหกสิบห้าปีแล้ว ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ได้มีการยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง แสดงว่ารัฐธรรมนูญย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แห่งกาลเวลาและสภาวการณ์ของบ้านเมือง รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดกฎเกณฑ์สำคัญที่กระจ่างแจ้ง ชัดเจน สามารถใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศและเป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญได้ และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชาอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภาจำนวนเก้าสิบเก้าคน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับเพื่อเป็นพื้นฐาน สำคัญในการปฏิรูปการเมือง และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานกระแสพระราชดำรัสเพื่อเป็นสิริมงคลแก่การทำงาน ภายหลังจากนั้น สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้น ตลอดทั้งปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โดยได้คำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ และได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๕๓๙ แล้ว ทุกประการ

การเปลี่ยนแปลงวิถีทางการเมืองของไทย

 
ปรับปรุงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหมาะแก่ยุคสมัย เปลี่ยนการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักโบราณขัตติยราชประเพณี และยังเป็นพระจริยวัตรตามอุดมคติของพระโพธิสัตว์ที่เสวยราชย์เป็นจักรพรรดิ ซึ่งทำให้ห่างเหินข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎร การรับรู้ของพระมหากษัตริย์ในการติดตามผลงานการบริหารราชการแผ่นดินได้จากเจ้านายขุนนาง ทำให้ราษฎรไม่สามารถพึ่งองค์พระมหากษัตริย์ทางด้านกระบวนการยุติธรรม แม้จะทรงเปิดโอกาสให้มีการถวายฎีกา แต่การถวายฎีกายังเป็นเรื่องยาก ถูกกีดกันกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการ จึงทรงแก้ไขใหม่โดยโปรดให้เขียนฎีกาลงกระดาษ พระองค์เสด็จออกมารับที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์เดือนละ 4 ครั้ง เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ยากและพระราชทานความเป็นธรรมแก่ประชาชน พระราชกรณียกิจนี้ นอกจากจะทำให้ทรงทราบเรื่องไม่ดีไม่งามของผู้มีอิทธิพลแล้ว ยังเป็นการปรามมิให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนอย่างได้ผล

การใช้ระบบคุณธรรมเข้าแทนที่ระบบอุปถัมภ์ในวงราชการ ทรงคำนึงถึงคุณธรรมและความสามารถของผู้จะเข้ารับราชการในตำแหน่ง ทรงใช้ข้าราชการโดยคำนึงถึงความสามารถ ทรงติดตามผลงานของข้าราชการ และโปรดเกล้าฯให้ข้าราชการจากส่วนกลางไปตรวจ และรับรายงานสภาพตามหัวเมืองเสมอ ทรงกวดขันมิให้ข้าราชการข่มเหงราษฎร และสนับสนุนหลักการประนีประนอมในระบบการปกครอง ทรงประกาศเลือกสรรข้าราชการตุลาการชั้นสูง โปรดให้ส่งชื่อเพื่อคัดเลือกแทนการประกาศแต่งตั้งจากพระองค์ เป็นการใช้ความเห็นของคนหมู่มาก ทรงวางมาตรการควบคุมให้ข้าราชการมีความประพฤติดีและทรงปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการที่สับสนให้เป็นระเบียบขึ้น ทรงตระหนักว่า ปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เกิดจากความสับสนในการสื่อสารและเกิดจากระบบราชการเปิดช่องให้ระบบอุปถัมภ์มีอิทธิพลในวงราชการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอให้ข้าราชการประพฤติตนให้สมกับที่ทรงพระมหากรุณาชุบเกล้าชุบกระหม่อม ให้รับราชการ โดยสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ทรงวางกฎระเบียบให้ข้าราชการปฏิบัติ เพื่อจะได้รู้จักหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน
แก้ไขความสับสนในการสื่อสารข้อราชการ เดิมสื่อสารด้วยการออกหมายจากกรมวัง ให้สัสดีและ ทะลวงฟันเป็นผู้เดินบอกไปตามหมู่ตามกรม จึงทำให้ข้อราชการคลาดเคลื่อน จึงทรงออกหนังสือราชกิจจานุเบกษา ตีพิมพ์ข่าวราชการจากท้องตราและหมายที่ออกประกาศไปรวมเป็นเล่ม แจกไปตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับราชการต่าง ๆ ทุกหมู่ กรม หัวเมือง เพื่ออ่านให้เข้าใจในคำสั่งราชการ จะได้ไม่ปฏิบัติผิดพลาดและเก็บรักษาไว้ ทรงให้ประกาศในประชุมประกาศรัชกาลที่ 4
การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงระเบียบคำสั่งของราชการ

ระบบการเมืองของประเทศไทย

 
ระบบการเมืองการปกครอง
เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดข้อตกลงใจที่มีอำนาจบังคับในสังคม

     ทุกระบบจะปรากฎลักษณะสำคัญเบื้องต้นร่วมกันดังนี้
     
 การแบ่งระบอบการเมืองโดยพิจารณาจากอำนาจอธิปไตย

     1. การปกครองโดยคนคนเดียว (Government of One) คือ บุคคลผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด  มี 2 แบบ คือ

         1.1 สมบูรณาญาสิทธิราช (Absolute Monarchy) สืบทอดตำแหน่งโดยการสืบสันตติวงศ์

         1.2 เผด็จการ (Dictatorship) ผู้ปกครองเรียกว่า ผู้เผด็จการ มีอำนาจเด็ดขาดเช่นเดียวกับกษัตริย์ อาจจะได้อำนาจทางการเมืองมาโดย การปฏิวัติยึดอำนาจ หรือ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน

     2. การปกครองโดยคนส่วนน้อย ( Government of Many) หรือการปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไปบริหารประเทศ หากไม่พอใจก็อาจเรียกอำนาจกลับคืนมาได้


    1.1 หลักการสำคัญ เป็นกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งองค์การหรือในการดำเนินการตาม กระบวนการเพื่อกำหนดลักษณะ ให้เป็นไปในแนวหนึ่ง
         
    1.2 อุดมการณ์ หมายถึง ความเชื่อมั่นศรัทธาในคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
          
    1.3 รูปแบบแห่งโครงสร้าง หมายถึง การกำหนดสถานภาพเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ      อุดมการณ์

        

    โครงสร้างอำนาจการเมืองภายใน

     
    ปรับปรุงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหมาะแก่ยุคสมัย เปลี่ยนการบริหารราชการแผ่นดินตาม หลักโบราณขัตติยราชประเพณี และยังเป็นพระจริยวัตรตามอุดมคติของพระโพธิสัตว์ที่เสวยราชย์เป็นจักรพรรดิ ซึ่งทำให้ห่างเหินข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎร การรับรู้ของพระมหากษัตริย์ในการติดตาม ผลงานการบริหาร ราชการแผ่นดินได้จากเจ้านายขุนนาง ทำให้ราษฎรไม่สามารถพึ่ง องค์พระมหากษัตริย์ทางด้าน กระบวนการยุติธรรม แม้จะทรงเปิดโอกาสให้มีการถวายฎีกา แต่การถวายฎีกายังเป็นเรื่องยาก ถูกกีดกันกลั่นแกล้ง จากเจ้าหน้าที่ข้าราชการ จึงทรงแก้ไขใหม่โดยโปรดให้เขียนฎีกาลงกระดาษ พระองค์เสด็จออกมารับที่พระที่นั่ง สุทไธสวรรย์เดือนละ 4 ครั้ง เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ยากและพระราชทานความเป็นธรรมแก่ประชาชน พระราชกรณียกิจนี้ นอกจากจะทำให้ทรงทราบเรื่องไม่ดีไม่งามของผู้มีอิทธิพลแล้ว ยังเป็นการปรามมิให้ข้า ราชการประพฤติปฏิบัติไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนอย่างได้ผล จากจดหมายเหตุรัชกาลที่ 4 จ.ศ. 1213 เลขที่ 59 เรื่องให้ราษฎรร้องทุกข์ (กระทรวงศึกษาธิการ 2527 : 90-91) ความว่า
    "... ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะให้ราษฎรเข้ามาร้องถวายฎีกาได้โดยง่าย ให้ทำหลักธงไชยปักขึ้นไว ้ผูกเชือกห้อย ขอเหล็กลงมาสำหรับเกี่ยวเรื่อง ฎีกาแขวนไว้เฉพาะหน้าพระที่นั่ง ให้ทอดพระเนตรเห็น ให้เจ้าของฎีกาหมอบอยู่ใกล้หลักนี้จะได้รู้เห็น ได้ยินเรื่องราวเองด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินมาดับทุกข์ราษฎรที่ร้องถวายฎีกา ข้างขึ้น 2 ครั้ง ข้างแรม 2 ครั้ง เดือนละ 4 ครั้งแล้ว จะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ราชบุรุษที่สัจซื่อมีสติปัญญาผู้ใดหนึ่ง อ่านเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายแต่ในเวลานั้น จะได้ไปโปรดเกล้าฯให้มีตระลาการชำระให้แล้วโดยเร็ว อนึ่งราษฎรที่มีคติ ได้รับความเดือดร้อน ประการใดๆ จะถวายฎีกากล่าวโทษผู้กระทำผิดผู้ใดผู้หนึ่ง ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ฤาจะสมัคร ขึ้นไปร้องถวายฎีกา ในพระบาทสมเด็จพระบวรปิ่นเกล้าฯ ก็ตามเถิด ด้วยเหตุว่าโจทก์ จำเลยก็อยู่เป็นไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินแห่งเดียวกัน ..."
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ที่จะแสดงพระมหากรุณาธิคุณแก่ราษฎรในโอกาสต่าง ๆ เพื่อให้ราษฎรมั่นใจว่าพระองค์เป็นที่พึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับราษฎรดำเนินไปอย่างดี พระองค์ทรง ระวังเสมอที่จะไม่กระทำการ หรือสั่งการที่จะทำให้ราษฎรเดือดร้อน ถ้าหากเมื่อใดที่ออกประกาศเป็นกฎหมายแล้ว เกิดผลเสีย พระองค์ทรงพร้อมที่จะยกเลิกโดยไม่เกรงจะเสียพระเกียรติยศ

    มูลเหตุของการปรับปรุงการปกครองของไทย

     
    เนื่องจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์บ้านเมืองได้ผันแปร แตกต่างกว่าเดิมเป็นอันมากทั้งความเจริญของบ้านเมืองก็เป็นเหตุให้ข้าราชการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็น ลำดับลักษณะการปกครองที่ใช้มาแต่เดิมนั้นย่อมพ้นความต้องการตามสมัยสมควรที่จะได้รับการปรับปรุง แก้ไขเสียใหม่โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "..การ ปกครองบ้านเมืองของเราซึ่งเป็นไปในปัจจุบันนี้ ยังไม่เป็นวิธีการปกครองที่จะให้การทั้งปวง เป็นไปโดย สะดวกได้แต่เดิมมาแล้วครั้นเมื่อล่วงมาถึงปัจจุบันบ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าการปกครอง อย่างเก่านั้นก็ยิ่งไม่สมกับความต้องการของบ้านเมืองหนักขึ้นทุกทีจึงได้มีความประสงค์อันยิ่งใหญ่ ที่จะ แก้ไขธรรมเนียมการปกครองให้สมกับเวลาที่เป็นการเจริญแก่บ้านเมือง......"
    ประกอบด้วยในรัชกาลของพระองค์นั้นเป็นระยะเวลาที่ลัทธิจักรวรรดินิยมกำลังแผ่ขยายมาทาง
    ตะวันออกไกล ด้วยนโยบาย Colonial agrandisement ประเทศมหาอำนาจตะวันตกเช่นอังกฤษและ ฝรั่งเศสได้ประเทศข้างเคียงรอบๆ ไทยเป็นเมืองขึ้น และทั้งสองประเทศยังมุ่งแสวงหาผลประโยน์จาก ประเทศไทยดังเช่นที่ฝรั่งเศสได้ถือโอกาสที่ไทยยังไม่มีระบบการปกครองที่ดี และรักษาอาณาเขตได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ได้อ้างวิธีการสำรวจทางวิชาการซึ่งเรียกว่า "Scientific expedition"เป็นเครื่องมือโดย อาศัยปัญหาเรื่องชายแดนเป็นเหตุ กล่าวคือ เมื่อฝรั่งเศสได้ดินแดนญวน แล้วได้ตั้งเจ้าหน้าที่ของตนออก เดินสำรวจพลเมืองและเขตแดนว่ามีอาณาเขตแน่นอนเพียงใด และเนื่องจากเขตแดนระหว่างประเทศไทย มิได้กำหนดไว้อย่างแน่นนอนรัดกุม จึงเป็นการง่ายที่พวกสำรวจเหล่านั้นจะได้ถือโอกาสผนวกดินแดนของ ไทยเข้าไปกับฝ่ายตนมากขึ้นทุกที ด้วยเหตุดังกล่าวประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับปรุงการปกครองบ้าน เมืองให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันเหตุดังกล่าว
    มูลเหตุอีกประการหนึ่งของการปรับปรุงการปกครองก็คือ พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในอันที่จะยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นการกดขี่กันหรือก่อให้เกิดความ อยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎรซึ่งมีอยู่นั้นเสีย ขนบธรรมเนียมดังกล่าวได้แก่การมีทาสการใช้จารีตนคร บาลในการพิจารณาความพระราชประสงค์ของพระองค์ในเรื่องนี้ ปรากฏในพระราชปรารภว่าด้วยเรื่องทาส และเกษียณอายุตอนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้ามีความปรารถนาว่าการสิ่งไรซึ่งเป็นการเจริญมีคุณแก่ราษฎรควรจะ เป็นไปทีละเล็กทีละน้อยตามกาลเวลา การสิ่งไรที่เป็นธรรมเนียมบ้านเมืองมาแต่โบราณแต่ไม่เป็นยุติธรรม ก็อยากจะเลิกถอนเสีย"
    นอกจากนี้พระราชประสงค์ของพระบาทสทเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในอันที่จะทรงนำเอาสิ่ง ใหม่ ๆ มาใช้ในการปกครองประเทศ เช่น ได้ทรงจัดตั้งคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Councilof state) ประกอบด้วยเหล่าสมาชิกตั้งแต่ 10 - 20 นาย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประธานสภาและได้ทรงจัดตั้ง สภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy council)ประกอบด้วยจำนวนสมาชิกสุดแต่พระประสงค์ซึ่งต่อมาใน ปีร.ศ. 113 ได้ทรงยกเลิกสภาที่ปรึกษาและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีสภาขึ้นแทน อันประกอบด้วยเสนาบดีหรือผู้แทน ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอีกไม่น้อยกว่า 12 คน อนึ่งการเริ่มให้มีการปกครองท้องถิ่นก็เป็นมูลเหตุสำคัญ กับผู้ที่ประการหนึ่งที่ทำให้มีการปรับปรุงการปกครองในรัชสมัยของพระองค์

    การเปลี่ยนแปลงการปกครอง (28 มิถุนายน พ.ศ. 2475)

     
    การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ก็นับว่าเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ใช้มายาวนานกว่า ๗๐๐ ปี มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
    คณะราษฎรซึ่งเป็นคณะผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คงจะมีเจตนาที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกด้วยความจริงใจ จะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงระบบและกระบวนการทางการเมือง เช่น การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ การจัดตั้งรัฐสภา ฯลฯ แต่มิได้นำหลักการประชาธิปไตยมาปฏิบัติอย่างครบวงจร ตัวอย่างเช่น มิได้มีการให้ความ สำคัญเกี่ยวกับจุดมุงหมายหรือหลักการแนวความคิดพื้นฐานของความเป็นประชาธิไตย มิได้มีการกระจายอำนาจการปกครองส่วนหลางสู่ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างจริงจัง อีกทั้งลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองยังมีลักษณะยึดถือตัวบุคคลมากกว่าหลักการของเหตุผล จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงรูปแบบมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
    นอกจากนี้ โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นรากฐานของการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คณะราษฎรก็มิได้เตรียมการที่พอดี สภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ก็ไม่สู้จะเอื่ออำนวยต่อการพัฒนาการเมืองไทย การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวจึงมิได้เกิดจากการตื่นตัวของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
    ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยใน พ.ศ.๒๔๗๕ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญยิ่ง แต่ก็มิไดนำประเทศชาติไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ยังคงวนเวียนอยู่กับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า การปฏิวัติรัฐประหาร และการก่อการกบฏยังคงวนเวียนเป็นวัฏจักร อีกทั้งยังมีการจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการและประชาธิปไตยสลับกันไป อันเป็นปัญหารื้อรังที่น่าจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า อีกนานเท่าใดประชาชนไทยจะร่วมแรงร่วมใจกันอย่างจริงใจที่จะเสียสละเข้าไปมีส่วนร่วมและมีบทบาทในกระบวนการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยให้มั่นคงสภาพรตลอดไป การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยใน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาของบรรพบุรุษไทยได้เป็นอย่างดี การที่คณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมิได้ใช้ความรุนแรงในการก่อการยึดอำนาจ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกตนก็ดี หรือการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่กัวมิได้ทรงใช้กำลังตอบโต้คณะราษฎรอย่างรุนแรงทั้งที่พระองค์มีโอกาสทำเช่นนั้นได้ แต่กลับทรงยินยอมรพะราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทยตามที่คณะราษฎรเรียกร้อง จึงเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการในการแก้ปัญหาของชาติด้วยหลักจริยธรรมและคุณธรรม เพราะทุกฝ่ายต่างคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนและต่างก็ไม่ต้องการให้คนไทยต้องสูญเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น
    การที่คณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ผ่านการศึกษามาจากประเทศตะวันตก สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของความก้าวหน้าททางวิทยาการจากโลกตะวันตกที่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยในโลกสมัยใหม่ในยุคหลังต่อมา และการที่คณะราษฎรซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้ร่วมมือร่วมใจเสี่ยงต่อการตายก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนเป็นผลสำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือพึ่งพาอาศัยกันของบุคคลทุกฝ่าย ที่จะแก้ปัญหาของชาติและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป เพราะถ้าขาดความร่วมมือและพึ่งพาอาศัยกันแล้ว คณะราษฎรก็คงจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
    การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมสละราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้กับปวงชนชาวไทยด้วยความเต็มพระราชหฤทัย และการที่คณะราษฎรยอมเสียสละความสุขส่วนตัว และยอมเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนและครอบครัวถ้าแผนการเปลี่ยนแปลงไม่ประสบผลสำเร็จ แสดงให้เห็นความพยายามของบรรพบุรุษไทยในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าที่ทุกฝ่ายได้ตั้งใจเอาไว้อันเป็นแบบฉบับของการแก้ไขปัณหาที่คนรุ่นหลังต้องยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไป ในบางกรณี มนุษย์พยายามใช้สติปัญญาในการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาของตน เช่น ในกรณีของการปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่ปรากฏว่าท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางการผลิตทาางด้านอุตสาหกรรม และความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมีส่วนสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือเข้าสู่สงครามที่นำมาแต่ความพินาศ และความทุกข์ยาก สงครามมิอาจสร้างสันติภาาพที่ถาวรได้ สันติภาพจะอยู่ได้มิใช่ด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร แต่จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจซึ่งกันและกันของมนุษย์ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

    การปฏิรูปการเมือง การปกครอง

    การปฏิรูปการเมือง การปกครอง

    ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ( พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ )

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครอให้ทันสมัยตามตะวันตกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

    การปฏิรูปการปกครอง ในสมัยรัชกาลที่ ๕


    ๑. การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศจัดตั้ง " เสนาบดีสภา " ขึ้น ในพ.ศ. ๒๔๓๑ พระองค์ทรงเลือกคนที่จะมาดำรงตำแหน่งเสนาบดีมีการประชุมอบรม โดยพระองค์ทรงเป็นประธานในที่ประชุม ทรงให้คำปรึกษา แนะนำ เกี่ยวกับราชการและบัญชางานแก่เสนาบดีแบบใหม่พอควรแล้วจึงได้ทรงมีพระบรมราชโองการ ประกาศจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ขึ้นแทนจตุสดมภ์ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยจัดสรรอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ ของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วนทั้งหมด ๑๒ กระทรวง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงวัง กระทรวงเกษตรพานิชการ กระทรวงพระคลัง กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุทธนาธิการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงธรรมการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมุรธาธิการ และกระทรวงมหาดไทย
    ๒. การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระองค์ทรงจัดการรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนที่สำคัญๆ ขึ้น เป็นเขตการปกครอง เรียกว่า " มณฑล " โดยมุ่งที่จะป้องกันพระราชอาณาจักร ให้พ้นจากการคุกคามจากภายนอกเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน ได้ทดลองการจัดระเบียบการปกครองอย่างใหม่ ซึ่งพระองค์สนพระทัยที่จะจัดให้มีขึ้นในประเทศต่อไป โดยพระองค์ทรงเลือกบุคคลที่ทรงคุณวุฒิ มีความสามารถสูง และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ออกไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลเพื่อทำหน้าที่บัญชาการต่างพระเนตรต่างพระกรรณ กำกับว่าราชการที่ผุ้ว่าราชการและกรมการเมืองปฏิรูปอยู่ให้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฏหมาย ด้วยความสุจริต ยุติธรรม และรวดเร็ว ตลอดจนดูแลทุกข์สุขของราษฎรโดยทั่วถึง

    การวางพื้นฐานในด้านการปกครอง

     
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นที่เคยทำมา ต้องยอมทำการค้ากับต่างประเทศและรับความคิดเห็นใหม่ ๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีอันล้าสมัย ประมุขของประเทศไทยในภายภาคหน้าจำต้องศึกษาถึงความละเอียดอ่อน ตามความคิดเห็นทางวิทยาการทูต และการปกครองบ้านเมืองแบบตะวันตก ทรงตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ต้องทำไปอย่างรวดเร็ว สิ่งใดที่ชาติตะวันตกทำมาเป็นเวลาร้อยๆ ปี ประเทศไทยต้องทำให้ได้ในระยะเร็วกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของพระองค์เป็นการปฏิวัติที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเหตุว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากประชามติหรือเกิดจากความยินยอมของคณะก้าวหน้าหนุ่มที่บังคับเอาจากพระเจ้าแผ่นดิน หากเกิดจากพระองค์เองซึ่งเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินและผู้นำคณะก้าวหน้าไปพร้อมกัน ตลอด 17 ปีที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าทั้งหมดของประเทศไทย

    การวางพื้นฐานในด้านการปกครอง ด้วยทรงเห็นว่าราษฏรจะครองชีพด้วยความร่มเย็นเป็นสุขได้ ก็ต้องมีการปกครองเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยหลักทางกฎหมาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิรูปกฎหมายและการศาลของไทยในด้านต่าง ๆ ให้ทันสมัยขึ้น ทรงติดต่อให้ชาวยุโรปและอเมริกาที่ชำนาญในวิชากฎหมายเข้ามาเป็นข้าราชการแก้กฎหมายต่าง ๆ ให้ทันสมัยและไม่ขัดกับกฎหมายต่างประเทศ ทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยในยุคหลัง เริ่มใช้หลักเกณฑ์ความยุติธรรมแบบสากลมาใช้ในการออกกฎหมายและพิจารณาคดีเพิ่มเติมขึ้นจากการถวายฎีกา ความเปลี่ยนแปลงนี้เห็นจากประกาศที่ห้ามมิให้ช่วยคนในบังคับต่างประเทศยุโรปมาเป็นทาส ประกาศพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการคมนาคมในประเทศ ซึ่งใช้ร่วมกันทั้งคนไทยและต่าง
    ประเทศ คือพระราชบัญญัติและกฎหมายท้องน้ำเกี่ยวกับเรือใหญ่ เรือเล็ก ที่ขึ้นตามแม่น้ำลำคลอง และพระราชบัญญัติว่าด้วยการทางบก ในกระบวนการศาล ทรงให้มีการลงลายมือหรือแกงไดไว้เป็นหลักฐานในหนังสือสำคัญ บังคับใช้ทั้งในกรุงและหัวเมือง โปรดเกล้า ฯ ให้ทำสารกรมธรรม์หรือหนังสือสัญญาเป็นเกณฑ์ เป็นหลักฐานในฟ้องร้อง สภาพความเป็นอยู่ของราษฎรในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น

    วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

    ตอบโจทย์เสื้อแดง : ขบวนการประชาธิปไตยไทย

    "วัตถุประสงค์ประการแรกและประการเดียว ที่ชอบธรรมที่สุดของรัฐบาลที่ดีก็คือ การดูแลชีวิตและความสุขของประชาชน ไม่ใช่การทำลายชีวิตของประชาชน"

    การเมืองไทยในทัศนะสามก๊ก



    การเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันนี้กำลังได้รับการกล่าวขวัญเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่องสามก๊กมากขึ้นทุกที ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องต่างยุคต่างสมัย เป็นเรื่องต่างเหตุการณ์ และต่างสถานการณ์จนแทบเทียบกันไม่ได้ 
                แต่การเปรียบเทียบเหตุการณ์บ้านเมืองกับเรื่องสามก๊กนั้น อาจทำให้เข้าใจความคลี่คลายของสถานการณ์หรือสามารถใช้เปรียบเทียบในลักษณะข้างเคียงกับเหตุการณ์ในสามก๊กได้ และอาจทำให้คาดหมายต่อไปได้ด้วยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอีก

                ดังนั้นแม้เป็นเรื่องต่างเวลา วาระ ต่างสถานการณ์ ก็ตามที แต่โดยนัยยะที่กล่าวมานี้ การมองการเมืองในทัศนะของสามก๊กก็อาจเป็นประโยชน์และทำให้เกิดความบันเทิงเริงอารมณ์ได้บ้าง ดีกว่าที่จะมัวหมกมุ่นหรือตึงเครียดกับความเป็นไปในบ้านเมือง

                ดังนั้นจึงขอลองมองการเมืองไทยในทัศนะของสามก๊กตามความนิยมดังกล่าวบ้าง ซึ่งอาจจะคล้ายหรืออาจจะต่างกับการเปรียบเทียบของท่านผู้อื่นก็อย่าได้ถือสาหาความแก่กันเลย 
                ที่สำคัญ อย่าได้คิดหรือเข้าใจว่าสภาพที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรานี้จะเป็นไปหรือจะเปรียบเทียบกันได้อย่างแท้จริงกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสามก๊ก ขอให้ถือเสียว่าเป็นการออกความคิดความเห็นในทางประเทืองอารมณ์และสติปัญญา ก็จะเป็นประโยชน์

                เมื่อกล่าวถึงเรื่องสามก๊ก ก็ต้องทำความเข้าใจว่าในขณะที่เกิดเป็นสามก๊กนั้น ประกอบด้วยก๊กเว่ยซึ่งมีโจโฉเป็นผู้นำ ก๊กจ๊กซึ่งมีเล่าปี่เป็นผู้นำ และก๊กง่อซึ่งมีซุนกวนเป็นผู้นำ ในขณะที่สภาพความเป็นจริงของแผ่นดินจีนยุคนั้นยังมีหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งไม่ขึ้นกับก๊กไหน และบ้างก็อยู่ห่างไกลจนอิทธิพลของก๊กทั้งสามแผ่ไปไม่ถึงก็ยังมี

                ในบรรดาก๊กทั้งสามต้องถือว่าก๊กเว่ยของโจโฉนั้นเป็นก๊กที่ครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของพระเจ้าเหี้ยนเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น โดยโจโฉดำรงตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดี หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

                โจโฉมีอำนาจมากกว่าใครในแผ่นดิน เคยมีที่ปรึกษายุยงให้ล้มราชบัลลังก์เสีย จนโจโฉเกือบจะเออออห่อหมกตามพวกประจบสอพลอไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่มาเฉลียวใจคิดได้ว่าแผ่นดินฮั่นสถาปนามากว่า 400 ปีแล้ว ย่อมมีขุนนางและราษฎรผู้จงรักภักดีอยู่เป็นอันมาก หากพลาดพลั้งก็จะเสียทีจนตัวตายและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง 
                โจโฉคิดอย่างนั้นแล้ว จึงคิดอุบายประลองกำลังทางการเมืองกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งมีรายละเอียดมาก กล่าวไม่หมดในที่นี้ แต่เอาเป็นว่าผลการประลองกำลังทางการเมืองประจักษ์ชัดว่าหากคิดล้มล้างราชบัลลังก์แล้ว ก็จะไปไม่ตลอด ดีไม่ดีก็จะสูญเสียอำนาจที่มีอยู่

                ดังนั้นโจโฉจึงกำหนดแนวทางการเมืองหรือยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเป็นสามประการคือ เทิดทูนฮ่องเต้ ทำการสิ่งใดก็ถือเอาพระบรมราชโองการเป็นสำคัญอย่างหนึ่ง สร้างความสามัคคีสมานฉันท์ในแผ่นดิน อย่างหนึ่ง และฟื้นฟูกอบกู้แผ่นดินให้เป็นปกติสุขอีกอย่างหนึ่ง

                เฉพาะอย่างหลังนั้นถือเอาการปราบปรามก๊กจ๊กและก๊กง่อเป็นหลัก

                ดูไปแล้วก็น่าคิดว่าอำนาจรัฐในปัจจุบันนี้กำลังคิดกำลังทำเหมือนกับแนวนโยบายทางการเมืองของโจโฉก็เป็นไปได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นใครจะเป็นก๊กจ๊กหรือก๊กง่อในปัจจุบันเล่า? เพราะทั้งสองก๊กนี้จะต้องตกเป็นเป้าหมายแห่งการกำราบปราบปรามอย่างไม่ต้องสงสัย 
                ในสมัยสามก๊กนั้น มีกลุ่มผู้รักชาติอยู่กลุ่มหนึ่งถูกเรียกว่าโจรโพกผ้าเหลือง ทั้งๆ ที่ไม่เคยปล้นสดมภ์ใคร และมีกำลังพลกว่า 500,000 คน มากกว่ากำลังพลของกองทัพไทยเสียอีก แต่เป็นวิสัยจิตวิทยาการสงครามที่ต้องเรียกฝ่ายตรงกันข้ามว่าเป็นโจรเสมอไป

                พวกเสื้อเหลืองในปัจจุบันนี้ก็มีให้เห็นแล้ว และยังมีพวกเสื้อแดงอีกพวกหนึ่ง ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับยุคสามก๊กก็ต้องเรียกว่าเป็นพวกโจรโพกผ้าแดงบ้าง โจรโพกผ้าเหลืองบ้าง

                แต่พวกไหนจะเป็นโจรก็ต้องดูตามสภาพความเป็นจริง เพราะโจรนั้นชอบก่อความรุนแรง ชอบทำลายล้างและเข่นฆ่าโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมศีลธรรมแต่ประการใด

                และในวันนี้ก็เริ่มมีอาการปรากฎให้เห็นว่าทั้งพวกโพกผ้าแดงและโพกผ้าเหลืองกำลังถูกกระทำย่ำยีเช่นเดียวกันกับที่ก๊กเว่ยกระทำต่อก๊กจ๊กและก๊กง่อในยุคสามก๊กนั่นแล้ว

                จะต่างกันอย่างเดียวก็คือในสมัยสามก๊กนั้นไม่เคยปรากฎว่าโจโฉโกงบ้านกินเมืองหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงจนบ้านเมืองฉิบหายป่นปี้เลย 
                ลองดูกันว่าก๊กง่อในสามก๊กนั้นเป็นอย่างไร ก๊กนี้ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง คือตั้งแต่ดินแดนที่ถูกเรียกว่าเจียงหนานตลอดไปทางใต้ถึง 83 หัวเมือง ผู้คนใฝ่ในการค้าขาย สันทัดในเชิงรับมากกว่าเชิงรุก

                ที่สำคัญคือมีคติในการใช้คนที่เป็นญาติสนิทชิดเชื้อหรือเป็นมิตรสหายใกล้ชิดเท่านั้น ถึงแม้จะมีนักปราชญ์เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมากก็จัดไว้อยู่ในวงนอก ใช้สอยในฐานะเป็นลิ่วล้อบริวารหรือลูกจ้างเท่านั้น

                และบรรดานักปราชญ์หรือนักวิชาการเหล่านั้นต่างก็เป็นพวกเพ้อเจ้อเพ้อฝันจนถูกเรียกว่านักวิชาการเต้าหู้ยี้

                ก็ลองคิดดูกันเอาเองว่าสภาพของง่อก๊กกับปัจจุบันนี้จะเปรียบได้กับกลุ่มไหน ที่รักนิยมใช้แต่ญาติมิตรใกล้ชิด คิดแต่ทำธุรกิจหากำไรเป็นสรณะ แต่ไม่เอาไหนในการบริหารบ้านเมือง จนต้องสิ้นสูญอำนาจในที่สุด 
                ส่วนก๊กจ๊กนั้นทำการใหญ่ก็โดยอาศัยข้ออ้างว่าเป็นเชื้อสายพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ความจริงก็มิใช่พระญาติอันสนิท ต้องสืบสาวญาติวงศ์พงศาย้อนยุคขึ้นไปถึง 17 ชั่วคน จนกระทั่งถึงยุคพระเจ้าฮั่นเกงเต้โน่นแล้วจึงต่อเชื้อวงศ์ได้ติด

                เล่าปี่ได้อ้างความจงรักภักดีและความเป็นเชื้อพระวงศ์ที่นับสืบย้อนขึ้นไปถึง 17 ชั่วอายุคน สร้างความเคารพรักศรัทธาแก่มวลมหาชน แต่ก็ทำการใดไม่สำเร็จ

                จนกระทั่งไปคำนับเอกบุรุษผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรจูกัดเหลียงขงเบ้งมาเป็นกุนซือ การใหญ่ก็คืบหน้าไปจนใกล้จะสำเร็จ เพราะนับแต่มังกรแห่งเทือกเขาโงลังกั๋งเลื้อยลงจากภูออกมาช่วยเหลือคิดอ่านวางแผนแล้ว แค่ 8 ปี เล่าปี่ก็สามารถต้อนแผ่นดินจีนเข้ามาอยู่ใต้อาณัติได้ถึง 1 ใน 3
                เล่าปี่มีข้อดีอยู่ประการหนึ่งคือหมั่นแสวงหาคนดีมีฝีมือมาใช้สอย และรู้จักทำนุบำรุงคนดีมีฝีมือให้มีอำนาจในบ้านเมือง หากเป็นคนไม่ดี ถึงแม้เป็นญาติวงศ์ก็ไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมือง

                แผ่นดินทุกวันนี้ บางคนกล่าวว่าเป็นจลาจลเพราะไม่มีผู้มีสติปัญญาวิชาคุณแบบขงเบ้งมาช่วยเหลือ แต่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเรื่องตรงกันข้ามเพราะกรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ผู้มีปัญญาวิชาคุณมีอยู่มากมาย แต่ขาดไร้คนแบบเล่าปี่ต่างหาก             ผู้มีอำนาจต่างพึงใจให้ใครต่อใครเข้าไปสวามิภักดิ์กราบกรานเป็นลิ่วล้อบริวาร แต่หาได้ใส่ใจที่จะแสวงหาผู้มีสติปัญญาวิชาคุณเข้ามาช่วยทำการกอบกู้บ้านเมืองเหมือนกับเล่าปี่ไม่

                ก๊กจ๊กของเล่าปี่ใช้ธงแผ่นดินสีเหลืองขอบแสดเป็นสัญลักษณ์ แต่จะเทียบกันได้หรือไม่กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ต้องคิดกันเอาเอง

                หากจะมองการเมืองไทยด้วยทัศนะสามก๊กในภาพกว้าง ๆ ก็พอจะเห็นเค้าลางอย่างที่ว่านี่แหละ แต่ความจริงแล้วสถานการณ์อาจย้อนขึ้นไปและอาจใกล้เคียงกับยุคก่อนที่จะเป็นสามก๊ก คือยุคที่พี่ชายของพระเจ้าเหี้ยนเต้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าเหี้ยนเต้

                ในยุคนั้นราชสำนักฮั่นอ่อนแอ เพราะขุนนางต่างแย่งชิงอำนาจและฉ้อราษฎร์บังหลวง โฮจิ๋นอัครมหาเสนาบดีหลงเชื่อคำของอ้วนเสี้ยวให้เรียกกองทัพของตั๋งโต๊ะจากบ้านนอกเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในเมืองหลวง เพื่อช่วยกำจัดศัตรูภายในราชสำนัก 
                ตั๋งโต๊ะยกกองทัพใหญ่เข้ามาตามคำสั่ง แต่ตั้งกองทัพไว้นอกเมือง ป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันว่ายกกองทัพมาครั้งนี้เพื่อช่วยโฮจิ๋นปราบปรามศัตรู

                เมื่อเป็นดังนั้นจึงกระตุ้นเตือนให้ศัตรูของโฮจิ๋นวางแผนร้ายสังหารโฮจิ๋นเสียอย่างโหดร้ายทารุณ เข้าลักษณะเป็นการหลอกไปล้อมกรอบฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งอาจจะคล้าย ๆ กับแผนลอบสังหารหนุ่มมาร์คของเรานั่นเอง แต่โชคดีที่ฟ้ายังปรานีคุ้มครอง หนุ่มมาร์คจึงรอดจากอุ้งหัตถ์มัจจุราชมาได้ถึง 3 ครั้ง 3 ครา

                ครั้นโฮจิ๋นถูกสังหารแล้วก็เกิดการจลาจลขึ้นในเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะจึงฉวยโอกาสนั้นเข้ายึดอำนาจ และกลายเป็นทรราชใหม่ที่ถูกสาปแช่งทั้ง 10 ทิศ
                ตั๋งโต๊ะครองอำนาจแล้วก็คิดยึดอำนาจราชสำนัก โดยการว่าราชการหลังม่าน จึงคิดถอดฮ่องเต้ออกจากตำแหน่ง แล้วให้ผู้น้องครองบัลลังก์แทน

                จึงเกิดความขัดแย้งกับเต๊งหงวนหรือเติ๊งหานจนหวิดจะฆ่ากัน แต่เต๊งหงวนมีขุนพลฝีมือดีคือลิโป้ช่วยเหลือไว้ จึงออกจากเมืองไปได้

                ทว่าลิโป้เป็นคนคดในข้องอในกระดูก คิดเห็นแต่ผลประโยชน์และกามคุณ จึงขายตัวให้กับตั๋งโต๊ะด้วยแก้วแหวนเงินทองและม้าเซ็กเธาว์อีก 1 ตัว ตัดหัวเต๊งหงวนซึ่งเป็นบิดาบุญธรรมของตนเอาไปมอบให้แก่ตั๋งโต๊ะ

                ตั๋งโต๊ะก็อาศัยลิโป้ครองอำนาจในแผ่นดินจีน จนมีผู้ล้อเลียนว่าถ้าไม่มีเขาเราก็เป็นใหญ่ไม่ได้
                ตั๋งโต๊ะเป็นทรราชมากขึ้นทุกที แผ่นดินก็เป็นจลาจลต่อไปอีก ผู้รักภักดีต่อแผ่นดินจึงวางแผนฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย แต่ติดขัดด้วยลิโป้ซึ่งเป็นทหารเสือฝีมือเป็นเอก เพราะเมื่อเข้าด้วยตั๋งโต๊ะแล้วก็คำนับเอาตั๋งโต๊ะเป็นพ่อบุญธรรมคนที่สอง ไปไหนก็กอดกันเป็นเกลียว

                แต่ในที่สุดลิโป้ก็ขายตัวให้กับอ้องอุ้นด้วยหมวกยศ 1 ใบ และสตรีผู้เลอโฉมอีก 1 คนคือเตียวเสี้ยน ในที่สุดลิโป้ก็ฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย

                แต่อ้องอุ้นครองอำนาจได้ชั่วประเดี๋ยวเดียวบ้านเมืองก็เป็นจลาจล ปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วอีกครั้งหนึ่ง จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องพลัดพรากจากพระนคร ในที่สุดก็มีการออกคำสั่งเรียกตัวโจโฉมาช่วยเหลือ โจโฉเสือตัวใหม่จึงตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ด้วยประการฉะนี้

                โจโฉครองอำนาจภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้จนตลอดชีวิต จนกระทั่งถึงยุคสมัยของโจผีก็ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า แต่ในที่สุดแผ่นดินก็ตกอยู่ในมือของนายทหารใหญ่คือสุมาเอี๋ยน ผู้บุตรของสุมาอี้ และสถาปนาราชวงศ์ต้าจิ้นครองแผ่นดินสืบมา

                โจโฉตายด้วยโรคประสาท เล่าปี่ตายด้วยความตรอมใจ ในขณะที่ซุนกวนก็ตายด้วยความทุกข์ทรมานเพราะลูกหลานไม่เอาถ่าน

                ยุคสมัยร่วมร้อยปีของสามก๊กได้กวาดกลบเอาทรชนและวีรชนล่วงลับดับสูญไปสิ้นตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์ที่สรรพสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปด้วยประการฉะนี้.

    สังคมและการเมืองไทยในอุดมคติ

    สังคมและการเมืองไทยในอุดมคติ
                   
    สาระแนวความคิดทางการเมืองและสังคม


                   
                        ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 จวบจนบัดนี้ 77 ปีแล้ว ถ้าจะพูดว่า 77  ปีที่ผ่านมาประสบความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยคงจะไม่ผิดมากนักเพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการที่จะสรรหาตัวแทนให้ไปทำหน้าที่แทนตนเองนั้นยังไม่ได้เป็นไปด้วยความเข้าใจในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะในชนบท ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยความรู้ความเข้าใจตามอุดมการณ์และหลักการของประชาธิปไตยนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นจึงต้องรู้เหตุแห่งความล้มเหลวแห่งการพัฒนาระบบประชาธิปไตย   การรู้เหตุแห่งความล้มเหลวของการสร้างประชาธิปไตยจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในปัญหาต่างๆ ของการสร้างประชาธิปไตย อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของประชาธิปไตยในประเทศเรา นำไปสู่ความสำเร็จของการทำให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย คำว่า “ประชาธิปไตย” มีความหมายหลายนัย เช่นหมายถึงเสรีภาพก็ได้ หมายถึงระบอบประชาธิปไตยก็ได้ หมายถึงการปกครองแบบประชาธิปไตยก็ได้ แต่เมื่อพูดถึงการสร้างประชาธิปไตยย่อมหมายถึงการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือเมื่อพูดถึงการทำประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยย่อมหมายถึงการทำให้ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่หมายถึงประชาธิปไตยในความหมายอย่างอื่น เราพูดถึงประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ ประเทศว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย ย่อมหมายความว่าประเทศเหล่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตย และการที่ประเทศเหล่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือเป็นประเทศประชาธิปไตยก็เพราะสร้างประชาธิปไตยสำเร็จหรือทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยสำเร็จ การที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้นั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นขึ้นมาได้เฉยๆ แต่จะต้องสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา และต้องสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จด้วยจิตวิญญาณของคนภายในชาติ  ถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ ก็ไม่มีทางที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้ เราคนไทยต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่สร้างประชาธิปไตย แม้กระทั่งไม่พูดถึงการสร้างประชาธิปไตย หรือถ้าจะพูดถึงการสร้างประชาธิปไตยบ้าง เช่นภายหลังที่คณะ รสช. เข้าควบคุมอำนาจ ก็กลับหมายถึงการสร้างสิ่งอื่นที่มิใช่การสร้างประชาธิปไตย เช่นหมายถึงการสร้างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น เมื่อเราสร้างรัฐธรรมนูญก็ได้รัฐธรรมนูญ ไม่สร้างประชาธิปไตยก็ไม่ได้ประชาธิปไตย อยากได้ประชาธิปไตยแต่ไปสร้างรัฐธรรมนูญ ก็เหมือนอยากได้ข้าวแต่ไปปลูกถั่ว เรานึกถึงแต่การสร้างรัฐธรรมนูญ พูดถึงแต่การสร้างรัฐธรรมนูญ และรู้จักแต่การสร้างรัฐธรรมนูญ เราไม่นึกถึงการสร้างประชาธิปไตย ไม่พูดถึงการสร้างประชาธิปไตย และไม่รู้จักการสร้างประชาธิปไตย ถ้าไม่รู้จักการสร้างประชาธิปไตยก็จะไม่มีการสร้างประชาธิปไตยก็ไม่มีทางที่ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยได้ ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้และปัญญาชนที่จะต้องช่วยกันทำให้ประชาชนและผู้ปกครองรู้จักการสร้างประชาธิปไตย
                    หลายครั้งที่เรานำเอาแนวคิดมาจากต่างชาติ เพื่อช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการใช้อำนาจระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองเช่น วิธีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น  ซึ่งท้ายสุดก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้กลายเป็นการส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปท้องถิ่นหรือเป็นการสร้างข้าราชการท้องถิ่นแบบใหม่ในรูปของ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) การกระจายอำนาจปกครองสู่ท้องถิ่น โดยเนื้อหานั้นเป็นเรื่องดี ที่ทุกคนยอมรับแต่ เมื่อนำมาปฏิบัติจริงกลับล้มเหลวเพราะตราบใดที่ระบบการบริหารจัดการยังผูกติดกับระบบ และระเบียบทางราชการมากเกินไป ความคล่องตัว ความโปร่งใสในสายตาประชาชนทั่วไปก็ยังมองว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละองค์กรยังเป็นเจ้านายอยู่จะไปขัดผลประโยชน์เขาไม่ได้มิฉะนั้นจะเกิดผลร้ายกับตนเอง  แนวทาง "ประชาสังคม" จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้การเมืองและสังคมไทยเป็นสังคมแห่งอุดมคติที่มีความเป็นประชาธิปไตยเหมาะสมกับสภาพของสังคมไทยที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ  ลักษณะประชาสังคมของไทยไม่ใช่เป็นแบบตะวันตก กล่าวคือ ประชาสังคมของตะวันตกเกิดขึ้นจากคนชั้นกลางที่ได้รับการยอมรับจากภาครัฐอยู่แล้ว และคิดสร้างประชาสังคมเพื่อเป็นการคานอำนาจรัฐ  ในขณะที่ประชาสังคมของประเทศไทย ก็เกิดขึ้นเพื่อเป็นการคานอำนาจรัฐเช่นเดียวกันแต่กลุ่มคนนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกกีดกันทางสังคม หรือเป็นกลุ่มที่รัฐมองว่าจะต้องกระทำให้หรืออีกนัยก็คือกลุ่มคนที่รัฐมองข้ามและไม่เห็นความสำคัญมากสักเท่าไร ดังนั้นประชาสังคมในไทยจึงเกิดขึ้นเพราะการไม่เห็นด้วยกับการทำงานของภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นแบบครอบงำ โดยที่คนส่วนใหญ่ในสังคมมีส่วนร่วมน้อยมาก การเล่นพรรคเล่นพวกและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่มเป็นใหญ่มากกว่าการเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมและไม่มีการใช้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง   ปัจจุบันกลุ่มนักวิชาการทางสังคมศาสตร์หลายกลุ่มก็พยายามผลักดัน "ประชาสังคม" ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการเมืองและสังคมไทยเพื่อไปสู่สังคมที่ดีในอนาคต
                       ประชาสังคม หรือ civil society เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักคิด นักวิชาการ  และกลุ่มชนชั้นกลางโดยอาจมีเนื้อหาหรือมุมมองที่มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยและแตกต่างกันไปบ้างตามพื้นฐานความคิดของแต่ละคนหรือกลุ่มคนเหล่านั้น  คำว่า “ประชาสังคม” หรือในภาษาอังกฤษคือ “civil society” เป็นคำที่มีความเป็นมายาวนาน สำหรับในสังคมตะวันตกนั้นมีพัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลง คือ  ช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 แนวคิดประชาสังคมเป็นลักษณะของการร่วมกันระหว่างประชาชนกับรัฐ เป็นการดำรงอยู่แบบทาบซ้อนกันระหว่างสังคมกับรัฐไม่ได้แยกจากกัน โดย รุสโซ ได้เสนอความเห็นว่า สังคมมนุษย์ได้จัดระเบียบการปกครองขึ้นโดยมีสัญญาประชาคมเป็นข้อตกลงร่วมกันของสังคมซึ่งในการจัดระเบียบการปกครองนี้ สังคมได้จัดให้มี “ผู้ปกครองรัฐ” ขึ้นเป็นผู้ดูแลกฎระเบียบทางสังคม และมองในแง่ “ประชาสังคม” ว่าเป็นลักษณะของการจัดระเบียบทางการเมืองขึ้นภายในตัว โดยเป็นการเมืองที่ประชาชนเข้าร่วมโดยข้อตกลงร่วมกันอย่างยินยอมพร้อมใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาสังคมกับการเมืองคือสิ่งเดียวกันไม่ได้แยกจากกัน
                      นายแพทย์ประเวศ วะสี  มองว่า ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันภาคส่วนหลักของสังคมซึ่งก็คือ “ภาครัฐ” และ “ภาคเอกชน” มีความเข้มแข็งและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างมากซึ่งส่งผลต่อภาคสังคมหรือประชาชน คือ ทำให้สังคมขาดดุลยภาพและเกิดความล้าหลังในภาคของประชาชนหรือภาคสังคมโดยท่านใช้คำว่า “สังคมานุภาพ” ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฟื้นฟูภาคนี้ให้มีความเข้มแข็งและเกิดดุลยภาพที่เรียกว่า “สังคมสมานุภาพ” โดยนายแพทย์ประเวศ วะสี เชื่อว่า หนทางที่ทำได้ก็คือ การพัฒนาให้เกิดความเข้มแข็งที่ชุมชน
                    นายแพทย์ประเวศ วะสี  ได้ให้ความหมายของการเป็น ชุมชน ว่า หมายถึง การที่ประชาชนจำนวนหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีอุดมคติร่วมกันหรือมีความเชื่อร่วมกันในบางเรื่อง มีการติดต่อสื่อสารกันหรือมีการรวมกลุ่มกันจะอยู่ห่างกันก็ได้ มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีเรื่องจิตใจเข้ามาด้วยมีความรัก มีมิตรภาพ มีการเรียนรู้ร่วมกันในการกระทำ ในการ ปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างและมีระบบการจัดการในระดับกลุ่ม และชุมชนจะมีความเข้มแข็งได้ก็ต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ 1.มีเรื่องทางจิตใจ ธรรมมะและจิตวิญญาณ กล่าวคือ มีความรัก ความเอื้ออาทรต่อกัน ลดความเห็นแก่ตัวและนึกถึงส่วนรวม 2.มีการเรียนรู้ร่วมกัน กล่าวคือ มีการปฏิบัติร่วมกันไม่ใช่ลักษณะของการให้หรือรับเพียงฝ่ายเดียว และ 3.มีการจัดการ ซึ่งต้องเป็นไปด้วยกัน
                   ดังนั้นประชาสังคมตามแนวความคิดของท่านก็คือ ลักษณะของ ความเป็นชุมชน ซึ่งไม่จำเป็นว่าสมาชิกในชุมชนจะต้องอยู่ใกล้ชิดกันอาจจะอยู่ห่างกันก็ได้ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับพื้นที่ แต่ที่สำคัญคือ จะต้องมีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการช่วยเหลือกัน มีการสนับสนุนกันซึ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความสุขแก่กัน การกระทำของคนในระบบจะต้องใช้ปัญญาในการกระทำ เป็นลักษณะการร่วมกันทำ ร่วมกันระดมความคิด และต้องอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันในทางปฏิบัติซึ่งต้องอาศัยความเป็นมิตรภาพและความรัก ตลอดจนมีการจัดการกับองค์กรหรือกลุ่มที่เกิดขึ้นซึ่งต้องอาศัยการเข้าใจเป็นระบบ และมีการเชื่อมโยงและกระทำร่วมกัน  สิ่งที่สำคัญคือ ลักษณะความสัมพันธ์นั้นจะต้องเป็นลักษณะความสัมพันธ์ในแนวนอนเพราะลักษณะความสัมพันธ์แบบนี้จะทำให้คนทุกคนมีโอกาสในการแสดงศักยภาพของตนเอง มีความรู้สึกเท่าเทียมกันสามารถรวมกลุ่มกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลให้ทุกคนสามารถพัฒนาและใช้ศักยภาพที่มีอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็มีลักษณะความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งหมายถึง โครงสร้างอำนาจที่เป็นทางการ ดังนั้น “ประชาสังคม” หรือ “ชุมชนเข้มเข็ง” หรือ“สังคมสมานุภาพ” ของนายแพทย์ ประเวศ วะสี จึงเป็นการถักทอความสัมพันธ์ทั้งในแนวนอนและแนวดิ่งเข้าด้วยกัน ด้วยความรักความเข้าใจและความเป็นมิตรของคนทั้งในชุมชนและ ในสังคม
                    อเนก เหล่าธรรมทัศน์   มองว่า “ประชาสังคม” หรือ “civil society” เป็นคำที่มีความหมายรวมถึงทุกชนชั้นของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็น ประชาชน คนทุกข์ยากลำบาก คนชั้นกลาง นักวิชาการ หรือคนชั้นสูง โดยเน้นเรื่องของความสมานฉันท์ ความกลมเกลียว มากกว่าความแตกต่างหรือความแตกแยกภายในสังคม  และไม่จำเป็นที่คนเหล่านั้นจะต้องรู้จักกันหรือมีความใกล้ชิดกันก็ได้ แต่เป็นลักษณะของการมีความคิดที่ร่วมกัน ตรงกันที่จะร่วมกันในการดูแลบ้านเมืองภายใต้ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของโดยใช้คำว่า มีความเป็น “พลเมือง”  ซึ่ง อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เน้นไปที่ คนชั้นกลาง เป็นสำคัญ ในมุมมองของท่าน การสร้าง “ประชาสังคม” จะต้องอาศัยการสร้างวัฒนธรรมและมีหลักการเพื่อก่อเกิดการร่วมมือกันและรวมกันเพื่อการแก้ไขปัญหา และการสร้างสรรค์ประโยชน์แก่สังคมภายใต้ความคิดและการขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
                      ประชาสังคม  ในความหมายของอเนก เหล่าธรรมทัศน์ จึงหมายถึง สังคมขนาดใหญ่ มีความซับซ้อน ที่ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นเครือญาติ   และไม่จำเป็นต้องเป็นความสัมพันธ์แบบคุ้นหน้า    แต่เป็นลักษณะของความผูกพันธ์   และการร่วมกันของผู้คนที่หลากหลายบนจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง เพื่อการลดบทบาท อำนาจและขนาดของรัฐลง ภายใต้ความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของบ้านเมือง เป็นลักษณะของการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักและในขณะเดียวกันตนเองก็สามารถที่จะคิดหรือทำอะไรได้ในลักษณะของประโยชน์ส่วนตนแต่ความเป็นประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวมนั้นต้องมีการประสานกันหรือร่วมกัน
                     จากความหมายของ “ประชาสังคม” ข้างต้นที่ยกมา พอที่จะสรุปประเด็นความหมายโดยรวมของ “ประชาสังคม” ว่า หมายถึง การที่ผู้คนในสังคมมีจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง เป็นเจ้าของสังคมและมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม องค์กร หรือสมาคม เพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมหรือเป็นไปเพื่อการสร้างประโยชน์แก่สังคมภายใต้ความรู้สึกว่าเป็นกลุ่มหรือพวกเดียวกัน และอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเอื้ออาทร ความสมานฉันท์ เพื่อช่วยเหลือกัน สนับสนุนกัน โดยมีการร่วมกันคิดและร่วมกันทำ มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในระบบความสัมพันธ์ในแนวนอนหรือแนวราบที่ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่เท่าเทียมกันและเคารพสิทธิกันและกัน โดนความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่การเจอหน้ากันก็ได้ แต่ต้องมีลักษณะของการมีอิสระและเสรีภาพปราศจากการครอบงำจากองค์กรสถาบันหรือกลุ่มใด ๆ
                  จากความหมายของ “ประชาสังคม” ที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถเห็นได้ว่ามีความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับ “การพัฒนาสังคม” ดังต่อไปนี้คือ
                  ประการแรก มีความสอดคล้องกับปรัชญาขั้นมูลฐานของการพัฒนาสังคม กล่าวคือ การพัฒนาสังคมอยู่บนปรัชญาพื้นฐานที่เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน สามารถที่จะเลือกหรือกำหนดวิถีชีวิตของตนเองได้ตามความต้องการที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องเหมาะสม มนุษย์สามารถที่จะพึ่งตนเองได้ และหากมีโอกาสและมีการเรียนรู้ก็จะสามารถที่จะพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพสูงขึ้นรวมทั้งมีพลังความสามารถที่จะคิดริเริ่มการกระทำได้ มีความเป็นผู้นำ และมีความคิดใหม่ ๆ ได้เสมอ และสามารถที่จะพัฒนาความสามารถได้ในทุกด้าน ซึ่งในความหมายของประชาสังคมก็มีความสอดคล้องกับปรัชญามูลฐานเหล่านี้ กล่าวก็คือ ประชาสังคม นั้นมีความคิดอยู่บนความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีและมีศักยภาพที่เท่าเทียมกันแต่อาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามบริบทของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย การเชื่อในความคิดและการกระทำของคนที่จะสามารถร่วมกันเพื่อการแก้ปัญหาในสังคมหรือเพื่อก่อเกิดการกระทำหรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมภายใต้การพึ่งตนเอง และการเปิดโอกาสในการเรียนรู้  ในการคิดและการกระทำซึ่งแต่ละคนย่อมมีความคิดและสามารถที่จะคิดและทำร่วมกันได้ซึ่งย่อมที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านความคิด การกระทำและปัญญา ซึ่งเป็นทั้งการดึงและการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ที่มี
                   ประการที่สอง มีความสอดคล้องกับคุณลักษณะบางประการของการพัฒนาสังคม  กล่าวคือ แนวคิดหรือความหมายของประชาสังคมที่เห็นว่ามนุษย์มีสิทธิที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นองค์กรภายใต้การมีความคิดหรือจิตสำนึกร่วมกันที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมหรือเป็นไปเพื่อการกระทำเพื่อก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคมตามความรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างอิสระปราศจากการบังคับหรือครอบงำ และเป็นการกระทำร่วมกันโดยใช้ปัญญาซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านความคิดที่อยู่บนฐานของการพึ่งตนเอง เห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับคุณลักษณะของการพัฒนาสังคมในส่วนที่ว่า ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิที่จะเลือกจุดหมายและสามารถที่จะตัดสินใจที่จะกระทำการอันในก็ได้ตามที่เล็งเห็นแล้วว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนของตนเองโดยอยู่บนพื้นฐานของภูมิปัญญาที่มีและเป็นการตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่และเป็นการกระทำที่ทำร่วมกันโดยการรวมกันเป็นกลุ่ม องค์กร หรือสถาบัน ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาทางด้านความคิด การกระทำ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการพึ่งตนเองและการมีส่วนร่วมอย่างกว้างของประชาชน
                       ประการที่สาม มีความสอดคล้องกับมิติบางมิติของการพัฒนาสังคม กล่าวคือ มีความสอดคล้องกับมิติการพัฒนาสังคมที่เป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการพัฒนาที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้และปัญญา โดยผ่านกระบวนการคิด การทำและการแก้ปัญหาร่วมกันของคนในชุมชนภายใต้การมีจิตสำนึกในความเป็นชุมชนร่วมกันซึ่งอาศัยกลุ่มเป็นตัวเสริมสร้างให้เกิดกระบวนการเหล่านี้ ขณะเดียวกันคนในชุมชนก็ต้องมีการผนึกกำลังกันเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงปรารถนา อีกมิติหนึ่งก็คือ มิติที่เป็นขบวนการที่มีลักษณะของการเป็นสถาบันที่มีการขับเคลื่อนภายใต้อุดมการณ์และความคิดที่แรงกล้าเพื่อที่จะสามารถผนึกและขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ ซึ่ง ประชาสังคมมีความสอดคล้อง คือ ในการเป็นประชาสังคมนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรวมกันไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ กลุ่ม องค์กร สมาคมหรือว่าสถาบัน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการเพื่อให้ประชาสังคมสามารถมีความเข้มแข็งและดำรงอยู่ได้ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของสมาชิกทั้งทางด้านความคิด การกระทำและรวมถึงการเรียนรู้ที่จะเกิดร่วมกันและที่จะเกิดขึ้นใหม่ อีกทั้งต้องมีการระดมปัญญา ภายใต้เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่ชัดเจนที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม การแก้ปัญหาหรือแม้แต่การกระทำกิจกรรมเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมต่อไป
                        ประการที่สี่  มีความสอดคล้องกับหลักการในการพัฒนาสังคมบางประการ  กล่าวคือ ประชาสังคม เน้นในเรื่องการมีส่วนร่วมของคนไม่ว่าจะเป็น ความคิด การแก้ปัญหา หรือการทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ซึ่งต้องเป็นการใช้พลังความสามารถและศักยภาพทีมีของมนุษย์มาใช้โดยอยู่บนพื้นฐานความคิดและความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และศักยภาพที่คนแต่ละคนมี ความคิดการตัดสินใจและการกระทำที่เกิดขึ้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตนเองและมีอิสระและสามารถที่จะเรียกร้องหรือปฏิเสธในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับสังคมได้ รวมถึงการมีอำนาจในการต่อรองกับภาครัฐภายใต้การจัดการของประชาสังคมเอง ซึ่งเหล่านี้มีความสอดคล้องกับหลักการการพัฒนาสังคมคือ หลักการมีส่วนร่วมที่มีการคิดและทำร่วมกันอย่างเป็นอิสระไม่บังคับแต่อยู่ที่จิตสำนึกร่วมที่จะต้องก่อให้เกิดขึ้น หลักการพึ่งตนเองที่มนุษย์สามารถที่จะคิด ตัดสินใจหรือกระทำการใด ๆได้ด้วยตนเองที่เห็นแล้วว่าถูกต้องเหมาะสมและอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิของความเป็นมนุษย์
                        จากทั้งหมดจึงอาจกล่าวได้ว่า “ประชาสังคม” ถือได้ว่าเป็นอีกแนวความคิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นระบบฐานคิดใน “การพัฒนาสังคม” เพื่อเป็นตัวที่เสริมให้การพัฒนาสังคมมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นสังคมแห่งอุดมคติ ไม่ว่าจะเป็น การนำมาเป็นแนวคิดพื้นฐานเพื่อนำไปสู่การสร้างจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของชุมชน การรักชุมชน การมีสิทธิที่จะออกความคิดเห็นและการกระทำที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนซึ่งในความหมายประชาสังคมของ  อเนก เหล่าธรรมทัศน์ใช้คำว่า “ความเป็นพลเมือง”  การมีความรักต่อกัน การสนับสนุนกัน การเอื้ออาทรต่อกัน และความสมานฉันท์กลมเกลียวกันของคนในชุมชน การสร้างความสัมพันธ์ในแนวนอนหรือแนวราบ เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเชื่อมั่นในศักยภาพของคนในชุมชนก่อเกิดการร่วมกันในการคิด การกระทำ เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาสังคม ซึ่งจะทำให้การพัฒนาสังคมเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ที่กล่าวมาก็ใช่ว่าในการพัฒนาสังคมจะไม่มีสิ่งเหล่านี้แต่หารนำแนวคิด “ประชาสังคม” เข้าไปเสริมอีกขั้นก็จะสามารถทำให้การพัฒนาสังคมเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และในอีกแง่ก็อาจมองได้ว่าในความหมายของประชาสังคมก็มีความคาบเกี่ยวและสอดคล้องกับการพัฒนาสังคมซึ่งได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นแต่ขณะเดียวกันความแตกต่างก็ยังคงมี ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนก็คือ ประชาสังคมสามารถที่จะเกิดได้ทั้งในระดับจุลภาค(ระดับเล็ก)  มัธยภาค(ระดับกลาง) และมหภาค แต่การพัฒนาสังคมนั้นเป็นไปในระดับจุลภาค(ระดับเล็ก)หรือ มัธยภาค(ระดับกลาง)เท่านั้น
                   
                               ประชาสังคม ก็คือการรวมตัวของสมาชิกเพื่อเชื่อมประสาน ผลประโยชน์ ทรัพยากร หรืออำนาจ ระหว่างปัจเจกชนกับรัฐนั่นเอง

    อนาคตการเมืองไทยท่ามกลางความขัดแย้ง




    ในท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองระยะนี้ แม้ว่าด้านหนึ่งจะเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน อุดมการณ์ที่ต่อสู้ช่วงชิงในสนามการเมืองมี 5 อุดมการณ์หลักคือ1) อนุรักษ์นิยมใหม่(Neo-Conservative) มีความเชื่อว่า โลกาภิวัฒน์นำมาซึ่งความมั่งคั่ง กำแพงภาษีระหว่างประเทศควรถูกกำจัด เปิดโอกาสให้ทุนไหวเวียนอย่างเสรี และหลักคิดการบริหารธุรกิจภาคเอกชนเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบนี้คือกลุ่มทุนใหม่ซึ่งมีทุนโทรคมนาคมเป็นแกนนำ พรรคการเมืองที่กลุ่มผู้บริหารพรรคมีอุดมการณ์นี้คือ อดีตพรรคไทยรักไทย ซึ่งกลายสภาพเป็นพรรคพลังประชาชนในเดือนสิงหาคม 2550 อย่างไรก็ตามบุคคลที่มีอุดมการณ์เช่นนี้แทรกซึมอยู่แทบทุกพรรคการเมือง แม้ว่าจะมีระดับความมากน้อยและความเข้มข้นในเชิงอุดมการณ์แตกต่างกันบ้าง




    2)อุดมการณ์อุปถัมภ์นิยม (Clientelism) เป็นอุดมการณ์หลักที่ครอบงำสังคมการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ในระยะหลังความเข้มข้นของอุดมการณ์นี้ลดลงในกลุ่มชนชั้นกลาง แต่ยังคงมีความเข้มข้นในกลุ่มชนชั้นชาวบ้านและชนชั้นนำทางการเมือง ชนชั้นนำทางการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น อาศัยอุดมการณ์อุปถัมภ์เป็นกลไกในการสร้างเครือข่ายหัวคะแนนและจัดตั้งมวลชนในชนบทให ้มาสนับสนุนตนเองเมื่อเกิดกรณีการต่อสู้ทางการเมืองทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง และการชุมนุมประท้วง อุดมการณ์นี้แทรกซึมอยู่ทุกพรรคการเมือง ทั้งพรรคใหญ่บ้าง พรรคเล็กบ้าง แต่จะมีมากในพรรคที่ถูกจัดตั้งโดยกลุ่มอดีต ส.ส.ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ




    3)อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมดั้งเดิม(Traditional Conservative) เชื่อในเรื่อง การรักษาสถานภาพเดิมของสังคม เชิดชูความมั่นคงสถาบันหลักของสังคม กลุ่มที่ดำรงอุดมการณ์แบบนี้คือ กลุ่มทุนเก่า เช่น ทุนการเงิน และอุตสาหกรรมหนักบางประเภท กลุ่มข้าราชการส่วนใหญ่ บางครั้งกลุ่มนี้ได้รับการเรียกว่า เป็นกลุ่มอำมาตยาธิปไตย กลุ่มนี้มีบทบาทในการกำหนดนโยบายชี้นำสังคมไทยมายาวนาน แต่บทบาทเริ่มลดลงเมื่อมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 และในเวลาต่อมาได้ถูกสั่นคลอนอย่างหนักจากระบอบทักษิณซึ่งนำพาอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ใหม่เข้ามาจัดการภายในระบบราชการ พรรคการเมืองที่มีแนวโน้มยึดถือในอุดมการณ์นี้คือ พรรคชาติไทย และพรรคประชาราช เป็นต้น




    4)อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย(Liberal Democracy) มีความเชื่อพื้นฐานว่า เสรีภาพและความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่มีคุณค่าของมนุษย์ กลุ่มที่มีแนวคิดเช่นนี้คือกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งประกอบด้วยพ่อค้า นักธุรกิจรายย่อย ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจระดับกลาง พนักงานเอกชนระดับกลาง และผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งหลาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นภายหลังปี 2540 และขยายตัวจนกลายเป็นพลังในการต่อต้านระบอบทักษิณ พรรคการเมืองที่อาจถือได้ว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มอุดมการณ์นี้ คือพรรคประชาธิปัตย์




    5) อุดมการณ์การประชาสังคมประชาธิปไตย(Civil Society Democracy) มีความเชื่อว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในทุกระดับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับสังคม กลุ่มที่นำอุดมการณ์นี้ไปปฏิบัติการทางการเมืองคือ กลุ่มองค์การพัฒนาเอกชน นักวิชาการ และนักการเมืองบางกลุ่ม กลุ่มนี้มีความมุ่งหมายที่จะผลักดันให้สังคมเป็นสังคมแห่งการมีส่วนร่วม โดยให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเอง และสามารถบริหารจัดการชุมชนด้วยตนเองได้ ปัจจุบันยังไม่มีพรรคการเมืองใดที่ใช้อุดมการณ์นี้ไปปฏิบัติการทางการเมือง




    อนาคตการเมืองไทยในท่ามกลางความขัดแย้ง




    จากสภาพการที่เป็นจริงทางสังคมการเมืองดังที่ได้วิเคราะห์มาข้างต้น สามารถสรุปแนวโน้มการเมืองไทยในอนาคตได้ดังนี้




    1)การต่อสู้ทางการเมืองมีความเข้มข้นขึ้น ปริมาณกลุ่มและสถาบันของสังคมจะเข้าสู่สนามการต่อสู้ทางการเมืองมากขึ้น และเกิดขึ้นในทุกระดับทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ




    2)การเสื่อมศรัทธาต่อสถาบัน ทั้งสถาบันทางการเมือง สถาบันการบริหาร สถาบันองค์การตรวจสอบอิสระ สถาบันทางสังคม การเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันเหล่านี้เกิดมาจากในระยะสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมา สถาบันเหล่านี้โดยเฉพาะสถาบันทางการเมือง บริหาร และองค์กรอิสระได้ถูกแทรกแซงและทำลายความเที่ยงธรรมโดยระบอบทักษิณ การรื้อฟื้นศรัทธาขึ้นมาอีกครั้งจึงเป็นภาระที่หนักหน่วงของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง ในขณะนี้และในระยะต่อไป




    สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันทางศาสนาซึ่งได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการบรรจุประโยค “ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย” ลงในรัฐธรรมนูญ วิธีการเคลื่อนไหวเรียกร้องของคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งได้สร้างภาพลักษณ์เชิงลบเกิดขึ้นแก่ สาธารณชน เพราะมีการกระทำทางสังคมหลายประการของสงฆ์บางส่วนที่สังคมชาวพุทธไม่อาจยอมรับได้




    สถาบันที่ประชาชนให้ความเชื่อถือสูงอยู่บ้างก็คือ สถาบันตุลาการซึ่งกลายเป็นเสาหลักในการค้ำยันวิกฤติของสังคมไทยในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามก็ยังมีข่าวที่อาจมีการสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันนี้อยู่บ้าง ด้วยการกระทำของบุคคลบางในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคการเมือง